วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2554

8x3=??ผู้สำนึกคุณ.ขงจื้อ

3 x 8 = ?????

       เอี๋ยนหุยใฝ่ศึกษา มีคุณธรรมงดงาม เป็นศิษย์รักของขงจื้อ  มีอยู่วันหนึ่ง เอี๋ยนหุยออกไปทำธุระที่ตลาด เห็นผู้คนจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ที่หน้าร้านขายผ้า จึงเข้าไปสอบถามดู จึงรู้ว่าเกิดการพิพาทระหว่างคนขายผ้ากับลูกค้า
     ได้ยินลุกค้าตะโกนเสียงดังโหวกเหวกว่า 3x8ได้ 23 ทำไมท่านถึงให้ข้าจ่าย24เหรียญล่ะ!
     เอี๋ยนหุยจึงเดินเข้าไปที่ร้าน หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็กล่าวว่า พี่ชาย 3x8 ได้ 24 จะเป็น 23 ได้ยังไง? พี่ชายคิดผิดแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก
     คนซื้อผ้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ชี้หน้าเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า ใครให้เจ้าเข้ามายุ่ง! เจ้าอายุเท่าไหร่กัน! จะตัดสินก็มีเพียงท่านขงจื้อเท่านั้น ผิดหรือถูกมีท่านผู้เดียวที่ข้าจะยอมรับ   ไป ไปหาท่านขงจื้อกัน
     เอี่ยนหุยกล่าวว่า ก็ดี หากท่านขงจื้อบอกว่าท่านผิด ท่านจะทำอย่างไร?”
คนซื้อผ้ากล่าวว่าหากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมให้หัวหลุดจากบ่า! แล้วหากเจ้าผิดล่ะ?”
      เอี๋ยนหุยกล่าวว่า หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมถูกปลดหมวก(ตำแหน่ง) ทั้งสองจึงเกิดการเดิมพันขึ้น
      เมื่อขงจื้อสอบถามจนเกิดความกระจ่าง ก็ยิ้มให้กับเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า 3x8ได้ 23 ถูกต้องแล้วเอี๋ยนหุย เธอแพ้แล้ว ถอดหมวกของเธอให้พี่ชายท่านนี้เสีย
     เอี๋ยนหุย ไม่โต้แย้ง ยอมรับในการวินิจฉัยของท่านอาจารย์ จึงถอดหมวกที่สวมให้แก่ชายคนนั้น     ชายผู้นั้นเมื่อได้รับหมวกก็ยิ้มสมหวังกลับไป  ต่อคำวินิจฉัยของขงจื้อ ต่อหน้าแม้เอี๋ยนหุยจะยอมรับ แต่ในใจกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น  เอี๋ยนหุยคิดว่าท่าอาจารย์ชรามากแล้ว ความคิดคงเลอะเลือน จึงไม่อยากอยู่ศึกษากับขงจื้ออีกต่อไป
     พอรุ่งขึ้น เอี๋ยนหุยจึงเข้าไปขอลาอาจารย์กลับบ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าที่บ้านเกิดเรื่องราว ต้องรีบกลับไปจัดการ
     ขงจื้อรู้ว่าเอี๋ยนหุยคิดอะไรอยู่ ก็ไม่ได้สอบถามมากความ อนุญาตให้เอี๋ยนหุยกลับบ้านได้
     ก่อนที่เอี๋ยนหุยจะออกเดินทาง ได้เข้าไปกราบลาขงจื้อ ขงจื้อกล่าวอวยพรและให้รีบกลับมาหากเสร็จกิจธุระแล้ว
     พร้อมกันนั้นก็ได้กำชับว่า อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”   เอี๋ยนหุยคำนับพร้อมกล่าวว่า ศิษย์จะจำใส่ใจแล้วลาอาจารย์ออกเดินทาง
     เมื่อออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง เกิดพายุลมแรงสายฟ้าแลบแปลบ เอี๋ยนหุยคิดว่าต้องเกิดพายุลมฝนเป็นแน่
      จึงเร่งฝีเท้าเพื่อจะเข้าไปอาศัยอยู่ไต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ก็ฉุกคิดถึงคำกำชับของท่านอาจารย์ที่ว่า อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง
     เราเองก็ติดตามท่านอาจารย์มาเป็นเวลานาน ลองเชื่ออาจารย์ดูอีกสักครั้ง คิดได้ดังนั้น จึงเดินออกจากต้นไม้ใหญ่
     ในขณะที่เอี๋ยนหุยเดินไปได้ไม่ไกลนัก บัดดล สายฟ้าก็ผ่าต้นไม้ใหญ่นั้นล้มลงมาให้เห็นต่อหน้าต่อตา เอี๋ยนหุยตะลึงพรึงเพริด
     คำกล่าวของพระอาจารย์ประโยคแรกเป็นจริงแล้ว หรือตัวเราจะฆ่าใครโดยไม่รู้สาเหตุ?

     เอี๋ยนหุยจึงรีบเดินทางกลับ กว่าจะถึงบ้านก็ดึกแล้ว แต่ไม่กล้าปลุกคนในบ้าน เลยใช้ดาบที่นำติดตัวมาค่อยๆเดาะดาลประตูห้องของภรรยา เมื่อเอี๋ยนหุยคลำไปที่เตียงนอน ก็ต้องตกใจ ทำไมมีคนนอนอยู่บนเตียงสองคน! เอี๋ยนหุยโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึหยิบดาบขึ้นมาหมายปลิดชีพผู้ที่นอนอยู่บนเตียง
     เสียงกำชับของอาจารย์ก็ดังขึ้นมา อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง  เมื่อเขาจุดตะเกียง จึงได้เห็นว่า คนหนึ่งคือภรรยา อีกคนหนึ่งคือน้องสาวของเขาเอง
     พอฟ้าส่าง เอี๋ยนหุยก็รีบกลับสำนัก   เมื่อพบหน้าขงจื้อจึงรีบคุกเข่ากราบอาจารย์และกล่าวว่า ท่านอาจารย์ คำกำชับของท่านได้ช่วยชีวิตของศิษย์ ภรรยาและน้องสาวไว้
     ทำไมท่านจึงรู้เหมือนตาเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์บ้าง?”
ขงจื้อพยุงเอี๋ยนหุยให้ลุกขึ้น และกล่าวว่า เมื่อวานอากาศไม่ค่อยสู้ดีนัก น่าจะมีฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นแน่    จึงเตือนเธอว่า อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่
     และเมื่อวาน เธอจากไปด้วยโทสะ แถมยังพกดาบติดตัวไปด้วย
อาจารย์จึ้งเตือนเธอว่า อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง เอี๋ยนหุยโค้งคำนับ ท่านอาจารย์คาดการดังเทวดา ศิษย์รู้สึกเคารพเลื่อมใสท่านเหลือเกิน
     ขงจื้อจึงตักเดือนเอี๋ยนหุยว่า อาจารย์ว่าที่เธอขอลากลับบ้านนั้นเป็นการโกหก ที่จริงแล้วเธอคิดว่าอาจารย์แก่แล้ว ความคิดเลอะเลือน ไม่อยากศึกษากับอาจารย์อีกแล้ว เธอลองคิดดูสิ อาจารย์บอกว่า 3x8ได้ 23 เธอแพ้ ก็เพียงแค่ถอดหมวก
     หากอาจารย์บอกว่า 3x8ได้ 24 เขาแพ้ นั่นหมายถึงชีวิตของคนๆหนึ่ง เธอคิดว่าหมวกหรือชีวิตสำคัญล่ะ?
      เอี๋ยนหุยกระจ่างในฉับพลัน คุกเข่าต่อหน้าขงจื้อ แล้วกล่าวว่า ท่านอาจารย์เห็นคุณธรรมเป็นสำคัญ โดยไม่เห็นแก่เรื่องถูกผิดเล็กๆน้อยๆ
ศิษย์คิดว่าอาจารย์แก่ชราจึงเลอะเลือน ศิษย์เสียใจเป็นที่สุด
      จากนั้นเป็นต้นไป ไม่ว่าขงจื้อจะเดินทางไปยังแห่งหนตำบลใด เอี๋ยนหุยติดตามไม่เคยห่างกาย
     จากตำนานเรื่องเล่านี้ ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเพลงๆหนึ่งของอิวเค่อหลี่หลิน(นักร้องดูโอของไต้หวัน)  ที่ร้องว่า หากสูญเสียเธอไป ต่อให้เอาชนะทั้งโลกได้แล้วจะยังไง? เช่นกัน  บางครั้งคุณอาจเอาชนะคนอื่นด้วยเหตุผลของคุณ แต่อาจจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป
     เรื่องราวต่างๆ แบ่งเป็นหนักเบารีบช้า อย่าเป็นเพราะต้องการเอาชนะให้ได้ แล้วทำให้เสียใจไปตลอดชีวิต
เรื่องราวมากมายที่ไม่ควรทะเลาะกัน ถอยหนึ่งก้าวทะเลกว้างฟ้างาม
ทะเลาะกับลูกค้า ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ใหม่ คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับเถ้าแก่ ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ตรวจผลงานปลายปีมาถึง คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับภรรยา ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เธอไม่สนใจคุณ คุณก็หากับข้าวกินเองละกัน)
ทะเลาะกับเพื่อน ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เคลียร์ไม่ได้ คุณอาจจะเสียเพื่อนไปเลย)
ใบชา เกิดสีสวยและกลิ่นหอมน่าลิ้มลองได้ ก็เพราะโดนน้ำร้อนลวก
ชีวิตของคนเราก็เช่นเดียวกัน เพราะเผชิญกับอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า จึงเหลือไว้ซึ่งเรื่องราวเป็นตำนานให้ได้เล่าขานน่าตามติด
ผู้ที่รู้สำนึกคุณอยู่เสมอ จึงเป็นผู้มีวาสนามากที่สุด
ขอบคุณ คุณเลอศักดิ์ ประสงค์และทุกๆท่านที่ส่งเรื่องราวดีดีมาเล่าสู่กัน




3 นักวิจัยไทยการันตี BIM พระเอกตัวจริง
โดย 3 นักวิจัย Operation BIM ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับหนังสือพิมพ์รายปักษ์ "ตลาดวิเคราะห์" ซึ่งเป็นการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อครั้งแรกว่า ในช่วงที่โรคร้ายไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 กำลังระบาดอย่างหนัก จนสร้างความหายนะให้กับผู้คนทั่วโลก ก็ได้มีหลายบริษัทขายตรงทั้งของคนไทยและต่างชาติพยายามหยิบยกผลิตภัณฑ์ สมุนไพรของตัวเองออกมาอวดอ้างว่า มีสรรพคุณสร้างภูมิคุ้มกัน ต้านเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ได้ แต่เชื่อว่า การอวดอ้างเป็นเพียงการหวังผลเลิศทางการตลาดก็เท่านั้น ถามว่า มีข้อพิสูจน์ใด ที่สามารถชี้ชัดลงไปว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านั้น ได้มีการทดลอง หรือได้มีผลการวิจัยรองรับจริง ซึ่งผิดกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจาก Operation BIM ของขายตรง "เอเชียนไลฟ์" ที่มีผลการวิจัยและผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์รองรับ เพื่อการพิสูจน์ได้จริงแล้ว

"เราไม่ได้บอกว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Operation BIM ของเราดี แต่เรามีผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนว่า เมื่อรับประทาน Operation BIM เข้าไปแล้ว จะไปช่วยลดสารที่มีชื่อว่า interleukin-1 ซึ่งเป็นโปรตีนในร่างกายลง และจะไปเพิ่ม interleukin-2 ซึ่งก็เป็นโปรตีนในร่างกายด้วยอีกเหมือนกัน

ถามว่า แล้ว interleukin-2 นั้น มีความสำคัญอย่างไร? หากใครติดตามการติดเชื้อไวรัส H1N1หรือโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 แล้วจะพบว่า มีคนเสียชีวิตเพิ่มขึ้น และสาเหตุของการเสียชีวิต ก็เพราะว่า พอเชื้อ H1N1 เข้าสู่ร่างกายไปที่ปอด องคาพยพของภูมิคุ้มกันทั้งหลาย ก็จะไปรุมกันอยู่ที่ปอด แล้วก็หลั่งสารภูมิคุ้มกันออกมา แบบไม่หยุด จนควบคุมไม่ได้ และสิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือ มีการรวมตัวของสารคัดหลั่งจากเซลล์ภูมิคุ้มกันทั้งหลายออกมามากจนเกินไป หรือออกมามากจนควบคุมไม่ได้ จนทำให้อุดตันทางเดินหายใจ และต้องเสียชีวิต เพราะหายใจไม่ออก หรือบางคนเสียชีวิต เพราะน้ำท่วมปอด หรือเป็นปอดบวม เพราะมีสารคัดหลั่งออกมาเยอะเกินไปนั่นเอง
สุดยอดอาหารเสริม 'หนึ่งเดียวในโลก'
สำหรับวิธีการที่จะทำให้ไม่ต้องเสียชีวิต คือ การลดตัวที่จะทำให้เซลล์คุ้มกันนั้นไปที่ปอด คือ ลด interleukin-1 เมื่อลด interleukin-1ได้แล้ว ผลก็คือ จากการเป็นไข้หวัดใหญ่ ก็จะกลายเป็นไข้หวัดเล็ก แต่ก็ยังเป็นไข้หวัดอยู่ดี แต่ทว่า จะไม่เสียชีวิต อย่างไรก็ตาม ก็จำเป็นที่จะต้องขจัดเชื้อไวรัส H1N1 ออกจากร่างกาย ซึ่งปกติแล้ว ร่างกายก็จะขจัดเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายอยู่แล้ว โดยเซลล์เม็ดเลือดขาว แต่ทว่า เมื่อเจอเชื้อไวรัส H1N1 เม็ดเลือดขาวกลับอ่อนแรง ก็จำเป็นที่จะต้องเพิ่มความแข็งแรง หรือเพิ่มความสามารถของเม็ดเลือดขาว


โว!อนุภาพเหนือวัคซีน ต้านทุกเชื้อกลายพันธุ์
ถามว่า คนที่เป็นโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ส่วนใหญ่จะมีอาการอย่างไร? โดยส่วนมากแล้วจะมีอาการปวดหัวตัวร้อน ขาดการสูญเสียความอยากอาหาร และมีน้ำท่วมปอด และส่วนมากคนที่เสียชีวิต ก็มักจะเป็นคนที่มีอายุระหว่าง 20-40 ปี หรือคนวัยหนุ่มสาว ซึ่งเป็นวัยที่มีร่างกายมีความแข็งแรง แต่ระบบภูมิคุ้มกันกลับไม่มีเซ็นเตอร์ที่ถูกต้อง คือ ภูมิคุ้มกันไว แต่ไม่สมดุล
เหมือนมีโจรบุกเข้ามาในบ้าน เราจำได้ว่า เป็นโจรคนนั้น หน้าตาแบบนั้น แต่หากวันดีคืนดี โจรเกิดใส่ผมวิกเข้ามา หรือใส่หน้ากากเข้ามา ถามว่า จำได้หรือไม่ เชื่อว่า จะจำไม่ได้ ซึ่งเชื้อไวรัสตัวนี้ ความจริงก็คือ โจรคนเดียวกัน แต่แปลงร่างกลายพันธุ์เข้ามา ติดต่อระหว่างคนกับคน แล้วอัตราการตายในไทยก็สูงขึ้นร้อยละ 0.4 แล้ว ส่วนทั่วโลกยังอยู่ที่ 0.1 เรียกว่า เมืองไทยติดเชื้อเร็วมาก และที่สำคัญ เชื้อไวัรัสจะแปลงร่างไปเรื่อยๆ ในอนาคตอาจจะเป็น ไข้หวัด 2010 เพราะมีการผสมข้ามสายพันธุ์ กลายเป็นพันธุ์ใหม่

 ชี้ Operation BIM สร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุล
สำหรับวิธีการวัดสาร ที่จะทำให้มีการลดปริมาณของ interleukin-1 นั้น ทำได้อย่างไร? จาการทดลองในห้องแล็ป เราทำการทดลองโดยทำเลียนแบบการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จริงๆ ส่วนวิธีการ คือ เจาะเม็ดเลือดขาวของคนที่เป็นอาสาสมัครมา แล้วก็ลองกระตุ้นเม็ดเลือดขาว โดยการใช้สารที่มีลักษณะใกล้เคียงหรือเหมือนกับตัวของเชื้อไวรัส H1N1 พอปล่อยสารเข้าไป เม็ดเลือดขาวก็จะปล่อยสาร interleukin-1ออกมาเยอะมาก ในขณะเดียวกันก็เอาสารจาก Operation BIM ใส่เข้าไป พบว่า ปริมาณของสาร interleukin-1ลดลง ซึ่งผลการทดลองแสดงให้เห็นภาพเด่นชัดมาก

ถามว่า ใคร คือ พระเอกตัวจริง สาหร่าย "คริพโตโมนาเดล" ที่กำลังมีการวิจัยโดยนักวิจัยชาวไต้หวัน หรือฟ้าทลายโจร หรือคาวตอง ที่กำลังวิจัยโดยการสนับสนุนของหน่วยงานรัฐของไทย ซึ่งสารสกัดจากพืชพันธุ์ต่างๆเหล่านี้ เราไม่รู้ว่า จะช่วยกระตุ้น หรือช่วยยับยั้ง หรือทำงานอย่างไร เพราะเราไม่ได้เป็นผู้วิจัย และยังไม่เคยเห็นผลการวิจัยอย่างเด่นชัด แต่ Operation BIM เรารู้แล้วว่า ทำงานได้อย่างไร

สิ่งหนึ่งที่อยากจะเตือนผู้บริโภค ก็คือ หากสารตัวนั้น เป็นตัวกระตุ้นภูมิต้านทานจริง เมื่อรับประทานเข้าไปแล้ว เกิดเข้าไปกระตุ้น interleukin-1 เพิ่มมากขึ้น ก็จะทำให้กลไกของการเกิดโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เป็นมากขึ้น ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ Operation BIM มีผลการวิจัยเด่นชัดว่า สามารถลดปริมาณ interleukin-1 ซึ่งสามารถวัดได้ และเพิ่ม interleukin-2 ได้ นั่นคือ คำตอบสุดท้าย เพื่อภูมิคุ้มกันที่สมดุล